![]() |
สับปะรดนางแล ภูแล ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย วันที่ 3-5 มิถุนายน 2554 ณ บริเวณสนามข้างแขวงการทางเชียงรายเชิงสะพานแม่น้ำกก อ.เมืองเชียงราย นางรัตนา จงสุทธนามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย ร่วมกับ อบจ.เชียงรายและเกษตรกรชาวสวน จัดงานสับประรดนางแล ภูแล ลิ้นจี่ และของดีเมืองเชียงราย ระหว่างวันที่ 3 – 5 มิถุนายน 2554 ณ บริเวณสนามข้างแขวงการทางเชิงสะพานแม่น้ำกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งในงานจัดให้มีกิจกรรมที่น่าสนใจ การประกวดผลผลิตทางการเกษตร อาทิ การประกวดสับปะรดพันธุ์น้ำผึ้ง พันธุ์ภูแล การประกวดลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวย พันธุ์จักรพรรดิ การประกวดฟักทอง กล้วยน้ำว้า มันเทศ การประกวดผลิตภัณฑ์แปรรูปผลผลิตจากสับปะรด และลิ้นจี่ ประกวดธิดาชาวสวน ประกวดแม่สวย ลูกใส ประกวดแด๊นเซอร์ การแข่งขันทำลาบประกอบลีลาประเภทลาบหมูลาบเนื้อ การแข่งขันส้มตำผลไม้รวมประกอบลีลาจังหวะเพลง การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น การแสดงกิจกรรมต่าง ๆ บนเวทีทุกคืน สัมผัสวิถีชีวิตล้านนากาดมั่วคัวแลง อิ่มอร่อยกับรสชาดอาหารพื้นเมือง รวมทั้งลานอาหารและเครื่องดื่ม ในการจัดงานครั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทั่วประเทศรู้จักสับปะรดนางแล โดยเฉพาะพันธุ์ภูแลให้กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้จังหวัดเชียงราย เป็นศูนย์กลางตลาดสับปะรดและลิ้นจี่ อีกทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอีกด้วย ที่มา http://www.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.chiangraifocus.com/news/attachments/1305738461.jpg&imgrefurl=http://www.chiangrai108.com/board/forum.php%3Fmod%3Dviewthread%26tid%3D309&usg=__zqVEE9P0GutqwVdr06Jii2o37ek=&h=174&w=290&sz=11&hl=th&start=9&sig2=TRcFhNCH246vf4fmOFsT2A&zoom=1&tbnid=Q5QB5L-kB-H7NM:&tbnh=69&tbnw=115&ei=tzYETtzyMc-xrAeJ1N2mDA&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%26um%3D1%26hl%3Dth%26tbm%3Disch&um=1&itbs=1 |
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ผลไม้ประจำถิ่นในจังหวัดเชียงราย
อาหารประจำถิ่นในจังหวัดเชียงราย
.jpg)
ข้าวซอยสูตรยูนนาน อร่อยรับหน้าหนาว
เมนูประจำร้าน คือ ข้าวซอยสูตรเด็ด ทั้งข้าวซอยไก่ ข้าวซอยเนื้อ ที่มีต้นกำเนิดมาจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งเป็นมณฑลจีนที่อยู่ใกล้กับเชียงรายมากที่สุด ห่างไปทางทิศเหนือประมาณ 300 กิโลเมตร ผู้คนบางส่วนในเชียงรายเป็นผู้อพยพ หรือสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษชาวยูนนาน หนึ่งในนั้นก็คือคุณลุงไทยลุงไทยเป็นเชื้อสายรุ่นที่ 3 จึงดัดแปลงรสชาติ ส่วนผสมจนถูกปากคนเมือง จากข้าวซอยที่ออกจะจืดตามแบบจีน จึงมีความเข้มข้น บวกกับกะทิ น้ำตาล น้ำปลา ฯลฯ เอร็ดอร่อยมากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีสูตรน้ำแกงลับเฉพาะไม่เหมือนใคร มีเครื่องปรุงบางอย่าง เช่น รากซู ซึ่งนำมาจากมณฑลยูนนานโดยตรง เป็นต้น
ไก่หรือเนื้อหั่นเป็นชิ้นพอดีๆ เตรียมเอาไว้ ปอกเปลือกขิงแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โขลกให้ละเอียด นำน้ำพริกแกงสูตรของร้านใส่โขลกเข้าด้วยกัน
ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ผัดทั้งหมดเข้าด้วยกันจนส่งกลิ่นหอม ใส่ชิ้นไก่ลงไป รอให้สุกดีโรยผงกะหรี่ ใส่กะทิ เคี่ยวต่อไปจนเข้มข้น ตามด้วยเครื่องปรุง น้ำตาล น้ำปลา ซีอิ๊วขาว ให้รสชาติกลมกล่อม
ทำน้ำแกงเสร็จ ราดบนเส้นหมี่เหลืองทอดกรอบ หมี่เหลืองเส้นเหนียวนุ่ม ไก่ที่เคี่ยวจนเนื้อเปื่อย เข้มมันด้วยกะทิแค่พอดีๆ เพิ่มความอร่อยด้วยเครื่องเคียง หัวหอมแดงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผักกาดดอง ผักชี มะนาว และพริกป่นผัดน้ำมันสำหรับคนชอบรสเผ็ด
เพื่อให้ครบสูตรต้องมี "หนังปอง" ทำจากหนังวัวตากแห้งตัดเป็นท่อนๆ นำไปทอดจนได้พองฟูกรอบ คำว่าปองก็คือพองนั่นเอง กินข้าวซอยมีหนังปองเป็นเครื่องเคียงจึงนับได้ว่าข้าวซอยยูนนานของแท้
ที่มา
http://www.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.sahavicha.com/UserFiles/Image/1(449).jpg&imgrefurl=http://www.sahavicha.com/%3Fname%3Dblog%26file%3Dreadblog%26id%3D3470&usg=__HikZoGXifI6uAR7FMHAz_ZgEAK8=&h=199&w=250&sz=34&hl=th&start=4&sig2=UAjkT300dpVcIpibBhoPBg&zoom=0&tbnid=-p1pRy6Hhm06MM:&tbnh=88&tbnw=111&ei=1zUETpqIKY_JrAe21s2xDA&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B3%25E0%25B8%2596%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%26um%3D1%26hl%3Dth%26tbm%3Disch&um=1&itbs=1
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วัดในจังหวัดเชียงราย


2.Wat Rong Khun in Chiang Rai
วัดร่องขุ่น( Wat Rong Khun)
เป็นวัดในจังหวัดเชียงราย ออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรชั้นแนวหน้าของประเทศไทย เป็นผู้ออกแบบทั้งหมด โดยใช้ทรัพย์สินส่วนตัวของตัวอาจารย์เฉลิมชัยเอง บวกกับพื้นที่บริจาคประมาณ 7 ไร่เศษ ของคุณวันชัย วิชญชาคร และเงินบริจาคของผู้ที่มีจิตศรัทธา ซึ่งปรารถนาจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2540 ลักษณะเด่นของวัดคือพระอุโบสถที่ประดับตกแต่งด้วยสีขาวเป็นพื้น ประดับด้วยกระจกบนปูนปั้นเป็นลายไทย โดยเฉพาะเหนืออุโบสถที่ประดับด้วยสัตว์ในเทพนิยาย เป็นรูปกึ่งช้างกึ่งวิหคเชิดงวงชูงา ดูงดงามแปลกตาน่าสนใจมาก ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถก็ เป็นฝีมือภาพเขียนของอาจารย์เอง วัดร่องขุ่น( Wat Rong Khun)
ที่มา
http://www.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.snr.ac.th/wita/story/watrongkhun01.jpg&imgrefurl=http://www.snr.ac.th/wita/OpenLink.php%3FID%3Dc3RvcnkvMTB0ZW1wbGUuaHRt&usg=__qtaVPPJ3A-1QPajHBE8PeIL7b98=&h=777&w=1036&sz=144&hl=th&start=3&sig2=4qO96eqS96jPTXV7dK5Xeg&zoom=1&tbnid=Y4hFoFQQ79Wc7M:&tbnh=112&tbnw=150&ei=8TMETr7LNMXnrAe9p7SmDA&prev=/search%3Fq%3D%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2583%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%26um%3D1%26hl%3Dth%26sa%3DN%26tbm%3Disch&um=1&itbs=1
สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย

เริ่มกันที่ "หอฝิ่นอุทยานสามเหลี่ยมทองคำ" ตั้งอยู่ในพื้นที่ประมาณ 250 ไร่ ห่างจากอำเภอเชียงแสนประมาณ 10 กิโลเมตร ตัวอาคารล้อมรอบด้วยสวนอันสวยงาม เป็นศูนย์นิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมาของฝิ่น เมื่อสมัยที่มีการใช้กันอย่างถูกกฏหมาย และผลกระทบของการเสพติดฝิ่น อีกทั้งยังทำหน้าที่ศูนย์ข้อมูลเพื่อการค้นคว้าวิจัยและการศึกษาต่อเนื่องในหัวข้อฝิ่น สารสกัดจากฝิ่นในรูปแบบต่างๆ และยาเสพติดอื่นๆ
หอฝิ่นจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ระหว่างเวลา 08.30 - 16.00 น. ค่าเข้าชมบุคคลทั่วไป ต่างชาติ 300 บาท คนไทย 200 บาท ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 50 บาท เด็กอายุ12 - 18 ปี 50 บาท (เฉพาะคนไทย) เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เข้าชมฟรี ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ โทร. 0-5378 - 4444-6
"วัดพระธาตุเจดีย์หลวง" ตั้งอยู่ติดกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน สร้างโดยพระเจ้าแสนภูเมื่อประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 19 โบราณสถานประกอบด้วย เจดีย์ประธานทรงระฆังแบบล้านนา เป็นเจดีย์ใหญ่ที่สุดในเชียงแสน นอกจากนี้ ยังมีพระวิหารที่เก่ามากซึ่งพังทลายเกือบหมดแล้ว และเจดีย์รายแบบต่างๆ 4 องค์
"ทะเลสาบเชียงแสน" หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย มีเนื้อที่ทั้งหมด 2,711 ไร่ ประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เมื่อปี พ.ศ. 2528 เดิมเป็นเพียงหนองน้ำขนาดเล็ก จนมีการสร้างฝายกั้นทางน้ำ ทำให้น้ำเอ่อล้น จนเกิดเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ ในฤดูหนาวจะมีอากาศเย็นสบายและหมอกลอยปกคลุมทั่วไป ทะเลสาบเขียงแสนยังเป็นแหล่งดูนกที่มีชื่อเสียงมาก โดยเฉพาะนกเป็ดน้ำที่ย้ายถิ่นเข้ามาในช่วงฤดูหนาว หลายชนิดเป็นนกหายาก เช่น เป็ดแมนดาริน เป็ดเทาก้านดำ เป็ดเบี้ยหน้าเขียว เป็ดหัวเขียว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บริเวณทะเลสาบมีรีสอร์ทไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
การเดิทาง จากตังเมืองเชียงแสน ใช้ทางหลวงหมายเลข 1016 ประมาณ 5 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายที่กิโลเมตรที่ 27 เข้าไปอีก 2 กิโลเมตร หรือนั่งรถโดยสารจากเชียงราย ไปอำเภอเชียงแสนแล้วต่อรถสามล้อเครื่อง
"สบรวก" (สามเหลี่ยมทองคำ) อยู่ห่างจากอำเภอแม่สาย 28 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 1290 เป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกมาบรรจบกัน หรือที่เรียกว่า “สบรวก” เป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทย ลาว พม่า บริเวณนี้เคยมีการค้าฝิ่น โดยแลกเปลี่ยนกับทองคำ ทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงบริเวณนี้มีความงดงาม โดยเฉพาะยามเช้าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางสายหมอกด้านฝั่งพม่าและลาว นักท่องเที่ยวนิยมนั่งเรือเที่ยวชมทิวทัศน์จุดบรรจบของพรมแดนไทย ลาว และพม่า ค่าเช่าเรือประมาณ 300 – 400 บาท นั่งได้ 6 คน ถ้าต้องการนั่งชมทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำโขงไปไกลถึงเชียงแสนและเชียงของ ก็สามารถหาเช่าเรือได้ แต่ค่าเรือขึ้นอยู่กับระยะทางใกล้ไกล
นักท่องเที่ยวที่สนใจล่องแม่น้ำโขงไปเที่ยวทางตอนใต้ของประเทศจีน เช่น สิบสองปันนา คุนหมิง สามารถติดต่อกับบริษัทนำเที่ยวในจังหวัดเชียงรายได้ หากต้องการจะชมทิวทัศน์มุมกว้างของสามเหลี่ยมทองคำบริเวณสบรวกและเพื่อนบ้าน ต้องขึ้นไปบนดอยเชียงเมี่ยง ที่อยู่ริมแม่น้ำโขง

"พระธาตุดอยตุง" ตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 17.5 ของทางหลวงหมายเลข 1149 เป็นที่บรรจุพระรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) ของพระพุทธเจ้า นำมาจากมัธยมประเทศ นับเป็นครั้งแรกที่พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ได้มาประดิษฐานที่ล้านนาไทย เมื่อก่อสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนี้ ได้ทำธงตะขาบ (ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า ตุง) ใหญ่ยาวถึงพันวา ปักไว้บนยอดดอย ถ้าหากปลายธงปลิวไปไกลถึงเมืองไหน ก็จะกำหนดเป็นฐานพระสถูป เหตุนี้ดอยซึ่งเป็นที่ประดิษฐานปฐมเจดีย์แห่งล้านนาไทย จึงปรากฏนามว่า “ดอยตุง”
พระธาตุดอยตุงเป็นปูชนียสถานที่สำคัญ เมื่อถึงเทศกาลนมัสการพระธาตุดอยตุงในวันเพ็ญเดือน 3 จะมีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและเพื่อนบ้านจากประเทศใกล้เคียง เช่น ชาวเชียงตุงในรัฐฉาน ประเทศสหภาพพม่า ชาวหลวงพระบาง เวียงจันทน์ เดินทางเข้ามานมัสการทุกปี พระธาตุดอยตุงถือเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีกุน ที่นิยมมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล
"วนอุทยานภูชี้ฟ้า" เป็นส่วนหนึ่งของดอยผาหม่น อยู่ห่างจากดอยผาตั้ง 25 กิโลเมตร เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามราวภาพวาด ด้วยทิวทัศน์ของภูเขาสลับซับซ้อนดูกว้างไกล การจะเดินขึ้นไปชมทะเลหมอกควรจะขึ้นไปยอดภูตั้งแต่ฟ้ายังมืด เพราะเมื่อฟ้าเริ่มสว่างจะทำให้เห็นสายหมอกค่อยๆ ก่อตัวเป็นภาพต่างๆ ดูสวยงามราวกับมีช่างวาดฝีมือมาแต่งแต้ม สร้างความประทับใจไปอีกนาน
ที่มา
วัดในจังหวัดเชียงราย
วัดพระสิงห์ ถนนท่าหลวง ใกล้ศาลากลางจังหวัด เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์องค์ที่ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน ตามประวัติเล่าว่า เจ้ามหาพรหมพระอนุชาของพระเจ้ากือนา กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองกำแพงเพชร พระเจ้า กือนาได้โปรดฯ ให้ประดิษฐานไว้ ณ เมืองเชียงใหม่ ต่อมาพระเจ้ามหาพรหมทูลขอยืมพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานไว้ที่เมืองเชียงรายเพื่อหล่อจำลอง แต่เมื่อสิ้นบุญพระเจ้ากือนาและพระเจ้าแสนเมือง ราชนัดดาของพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ เจ้ามหาพรหมคิดจะชิงราชสมบัติ จึงยกกองทัพจากเชียงรายไปประชิดเมืองเชียงใหม่ แต่เจ้าแสนเมืองก็สามารถป้องกันเมืองได้อีก ทั้งยกทัพตีทัพเจ้ามหาพรหมมาถึงเชียงราย และครั้งนี้เองที่ทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์คืนกลับไปประดิษฐานอยู่ที่วัดพระสิงห์เชียงใหม่สืบมา วัดพระสิงห์แห่งนี้ยังมีรอยพระพุทธบาทจำลองบนแผ่นศิลา สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราช นอกจากนั้นบานประตูยังออกแบบโดย คุณถวัลย์ ดัชนี บอกเรื่องราวเกี่ยวกับดิน น้ำ ลม ไฟ แกะสลักโดยฝีมือช่างชาวเชียงราย
วัดพระแก้ว ถนนไตรรัตน์ เป็นวัดที่ค้นพบพระแก้วมรกต หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระแก้ว กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน ตามประวัติเล่าว่าเมื่อ พ.ศ. 1897 ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่นั้น ฟ้าได้ผ่าเจดีย์ร้างองค์หนึ่ง และได้พบพระพุทธรูปลงรักปิดทองอยู่ภายในเจดีย์ ต่อมารักกะเทาะออกจึงได้พบว่าเป็นพระพุทธรูปสีเขียวสร้างด้วยหยก คือพระแก้วมรกตนั่นเอง ปัจจุบันชาวเชียงรายได้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหม่ขึ้นแทน เรียกว่าพระหยกเชียงราย หรือ พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล ซึ่งสร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระชนมายุ ครบ 90 พรรษา
วัดร่องขุ่น บ้านร่องขุ่น ริมถนนพหลโยธินกิโลเมตรที่ 816 ออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ พระอุโบสถตกแต่งด้วยลวดลายกระจกสีเงินแวววาว เป็นเชิงชั้นลดหลั่นกันไป หน้าบันประดับด้วยพญานาค มีงวงงาดูแปลกตา น่าสนใจมาก โดยเฉพาะภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ
ที่มา
http://www.ekohchang.com/Chiangrai_Thai/attractions.htm
วัดพระแก้ว ถนนไตรรัตน์ เป็นวัดที่ค้นพบพระแก้วมรกต หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระแก้ว กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน ตามประวัติเล่าว่าเมื่อ พ.ศ. 1897 ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่นั้น ฟ้าได้ผ่าเจดีย์ร้างองค์หนึ่ง และได้พบพระพุทธรูปลงรักปิดทองอยู่ภายในเจดีย์ ต่อมารักกะเทาะออกจึงได้พบว่าเป็นพระพุทธรูปสีเขียวสร้างด้วยหยก คือพระแก้วมรกตนั่นเอง ปัจจุบันชาวเชียงรายได้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหม่ขึ้นแทน เรียกว่าพระหยกเชียงราย หรือ พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล ซึ่งสร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระชนมายุ ครบ 90 พรรษา
วัดร่องขุ่น บ้านร่องขุ่น ริมถนนพหลโยธินกิโลเมตรที่ 816 ออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ พระอุโบสถตกแต่งด้วยลวดลายกระจกสีเงินแวววาว เป็นเชิงชั้นลดหลั่นกันไป หน้าบันประดับด้วยพญานาค มีงวงงาดูแปลกตา น่าสนใจมาก โดยเฉพาะภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ
ที่มา
http://www.ekohchang.com/Chiangrai_Thai/attractions.htm
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)